การกระตุ้น
พัฒนาการลูกน้อย วัยแรกเกิด
ฉลาดเรียนรู้
สิ่งเร้า
สร้างลูกน้อยฉลาดเรียนรู้
ในช่วง 1,365 วันแรกของเด็ก คือตั้งแต่อยู่ในครรภ์จน
3 ขวบแรก สมองมีการพัฒนาสูงสุดถึง
80 % คุณแม่มือใหม่สามารถใช้ช่วงเวลานี้
สร้างพัฒนาการลูกน้อยให้มีความฉลาดรอบด้านได้
เมื่อลูกคลอดออกมาสมองของเขาก็เริ่มทำงาน สิ่งสำคัญสำหรับเด็กแรกเกิดคือ
เขาเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวเอง โดยผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5
นั่นคือ ตาดู หูฟัง ลิ้นรับรส จมูกดมกลิ่น และผิวรับสัมผัส
คุณพ่อคุณแม่บางคนเข้าใจผิดว่า เด็กเล็กๆ ที่เอาแต่กินและนอนนั้น
คงยังไม่เรียนรู้อะไร จึงไม่ได้ให้สิ่งเร้า ซึ่งคือเสียง ภาพ สัมผัสกับเด็ก
เมื่อขาดสิ่งเร้าทำให้เขาไม่สามารถมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว
รวมทั้งไม่สามารถเรียนรู้ได้ จริงๆ แล้วการเรียนรู้ของทารกเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
แม้ในช่วงสัปดาห์แรกๆ ของชีวิตหากมีสิ่งกระตุ้นที่ดี
เพราะฉะนั้น สำหรับลูกวัยแรกเกิด สิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้
คือไม่ปล่อยให้ลูกนอนเฉยๆ แต่ควรส่งเสริมให้ลูกได้ใช้สัมผัสทุกส่วนบ่อยๆ เช่น
โอบกอดลูก เพื่อพัฒนาประสาทสัมผัส ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการกระตุ้นสมอง
สมองจะส่งกระแสไฟฟ้าผ่านเส้นใยของเซลล์ประสาทที่มีการแตกแขนงอย่างมากมาย
ทำให้เกิดการรับรู้ การตอบสนอง และการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
ยิ่งมีประสบการณ์มากเท่าใด หรือเร็วเท่าใด สมองจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น
เพราะประสบการณ์ที่ได้รับ จะทําให้เกิดการเชื่อมโยงของเซลล์สมอง
เกิดการเชื่อมโยงของเส้นใยประสาทสมองมากขึ้นนั่นเอง
ฉลาดเคลื่อนไหว
Check ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ของทารกแรกเกิด
พัฒนาการของลูกน้อยวัยแรกเกิดจะมีอย่างหนึ่งที่แสดงออกมาทางกายให้เห็น
นั่นคือ ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์หรือปฏิกิริยาสะท้อนกลับ
ซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่ทารกตอบสนองโดยอัตโนมัติ และบ่งบอกถึงพัฒนาการของการทำงานสมองและเส้นประสาทที่เป็นปกติ
และจะค่อยๆ หายไปเมื่อทารกเติบโตขึ้น
ร่างกายของทารกหลังคลอดจะมีพัฒนาการที่สมบูรณ์ครบถ้วนหรือไม่
สามารถตรวจสอบได้จากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อที่เกิดจากปฏิกิริยาสะท้อนกลับของเด็ก
ลูกน้อยแรกเกิดมีปฏิกิริยาสะท้อนกลับใดบ้าง
คุณแม่ลองเช็คกันดูค่ะ
·
เมื่อได้ยินเสียงดังๆ หรือเมื่อวางลูกนอนลงอย่างกะทันหัน
ลูกแสดงอาการตกใจ สะดุ้ง หรือผวา
·
เมื่อแม่เอานิ้วมือไปสัมผัสบริเวณฝ่ามือของลูก ลูกจะค่อยๆ
กำมือเข้าหา ถ้าดึงออก
ลูกจะยิ่งกำแน่นขึ้น
·
เมื่อแตะมุมปาก ลูกจะเผยอปากพร้อมกับหันหานิ้วที่แตะ
ทำท่าเตรียมดูดนม
·
เมื่อได้ยินเสียงดัง แสงจ้าเข้าตา หรือถูกอุ้มแบบกะทันหัน
ลูกจะสะดุ้ง ร้องไห้ พร้อมๆ กับแอ่นหลัง แขนขา กางออก แล้วหดกลับมางอตัวอย่างรวดเร็ว
·
เมื่อแตะสันจมูกหรือส่องไฟเข้าหน้า ทารกจะหลับตาแน่น
·
เมื่อแตะหลังมือหรือหลังเท้าลูก ทั้งนิ้วมือและนิ้วเท้าจะกางออก
·
เมื่อแตะที่ฝ่าเท้าเบาๆ เข่าและเท้าทารกจะงอ
·
เมื่อทารกนอนเอียงศีรษะไปด้านหนึ่งพร้อมกับเหยียดแขนข้างเดียวกัน
แขนอีกข้างจะงอขึ้นคล้ายท่ายิงธนู
การไม่พบปฏิกิริยาสะท้อนกลับเหล่านี้
อาจหมายถึงสัญญาณผิดปกติของพัฒนาการลูกได้ เช่น
หากได้ยินเสียงดังแล้วลูกยังนอนเฉย อาจมีปัญหาเรื่องการได้ยิน
คุณแม่จึงต้องหมั่นสังเกตและตรวจสอบพัฒนาการของลูกค่ะ
ฉลาดสื่อสาร
ทดสอบการได้ยิน :
จุดเริ่มต้นฉลาดสื่อสารของเด็ก
การได้ยินเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ภาษา
เมื่อเด็กได้ยินเสียงพูดของคนรอบข้าง
เขาจะเลียนแบบเสียงที่ได้ยินนั้นและพัฒนาเป็นภาษาพูดต่อไป
แม้ลูกในวัยแรกเกิด จะเอาแต่นอนเสียเป็นส่วนใหญ่
แต่เขาก็ได้ยินเสียงเสียงแล้ว เพียงแต่ยังหาต้นตอของเสียงไม่ได้ การตรวจสอบว่าลูกได้ยินเสียงหรือไม่จึงเป็นสิ่งที่คุณแม่ต้องทำ
ซึ่งคุณแม่สามารถทำได้โดยสังเกตว่า....
·
เมื่อได้ยินเสียงดังๆ ลูกจะสะดุ้งตื่น หรือร้องไห้ หรือไม่
·
เมื่อแอบสั่นกระดิ่งข้างหูเบาๆ
ลูกทำท่ากรอกตาหรือมีการเคลื่อนไหวหรือไม่
หากลูกไม่มีปฏิกิริยาใดๆ คุณแม่ควรพาลูกไปเช็คให้ละเอียดค่ะว่าเขามีปัญหาการได้ยินหรือไม่
หากลูกไม่มีปัญหาการได้ยิน
คุณแม่ควรกระตุ้นการได้ยินของเขาตั้งแต่แบเบาะ นั่นคือเมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็ชวนเขาพูดคุย
ร้องเพลงกล่อม ลองหาของเล่นที่ส่งเสียงดังกรุ๋งกริ๋งให้ฟัง
เป็นต้น จะช่วยให้ลูกทักษะการฟังที่ดี
เมื่อเขาโตขึ้นมาก็ให้เขาได้ฟังเสียงที่หลากหลายต่อไปค่ะ
ฉลาดด้านอารมณ์
สัมผัสโอบกอด
สร้างพื้นฐานความฉลาดทางอารมณ์ลูกน้อย
ลูกวัยแรกเกิดจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนสลับกับการตื่นมากินนมและเล่นเพียงช่วงสั้นๆ
คุณแม่สามารถใช้เวลาช่วงที่ให้นมลูกสร้างความฉลาดทางอารมณ์ให้ลูกด้วยการสบตา ยิ้ม
พูดคุย ร้องเพลง และเล่านิทานให้ลูกฟัง ลูบสัมผัสไปตามเนื้อตัวของลูก
เพราะการสัมผัสผิวกาย
การกอดและการนวดตัวลูกเป็นอีกวิธีที่ทำให้ลูกรู้สึกสบาย อบอุ่นใจ
มีความสุขและสร้างความผูกพันระหว่างคุณพ่อคุณแม่กับลูกน้อยด้วย
รวมทั้งจัดสภาพแวดล้อมภายในบ้านให้ลูกได้ซึมซับความสงบจากธรรมชาติรอบตัว
ก็จะช่วยให้ลูกอุ่นใจ มีสมาธิ ไม่ตื่นกลัวต่อสิ่งรอบข้างได้ง่าย
ข้อมูลจากงานวิจัยพบว่า สารเอนดอร์ฟิน หรือสารแห่งความสุข
เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการเสริมพลังด้านบวก (Positive reinforcement) โดยปริมาณของสารเอนดอร์ฟินในพลาสมามีความสัมพันธ์กับความรู้สึกสบาย
รู้สึกมีความสุข สงบ การมีสุขภาพและอารมณ์ดี เป็นต้น
ความรักของคุณพ่อคุณแม่ที่สื่อไปถึงลูกน้อย ผ่านการสัมผัส
โอบกอด จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นสารแห่งความสุขให้หลั่งในสมองของลูก
ก่อเกิดความสุขสงบภายใน และทำให้ลูกมั่นใจว่าเขาเป็นที่รัก
ซึ่งส่งผลต่อความฉลาดทางอารมณ์ของเขาต่อไป
ขอได้รับความขอบคุณจาก....ผลิตภัณฑ์เด็กอ่อน ฟุทเด็ก ให้ลูกคุณสาย เก๋ เท่กว่าใคร
ขายปลีก ส่ง รองเท้าเด็กอ่อน เด็กแรกเกิด เด็กทารก
|